memento mori

ความตายไม่ได้ไกลตัวเจนใหม่เปิดใจจะพูดถึงความตายมากขึ้น

‘ความตาย’ เป็นเช่นไร เราต่างขบคิดบ้างไม่คิดบ้าง หรือบังเอิญขณะหัวถึงหมอนกลางดึก

สมองก็ใคร่คิดพิจารณาถึงความตายอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว มันจะน่าหวาดกลัวหรือสงบเยือกเย็นล้วนเป็นปริศนา ซึ่งทุกคนก็ต้องเผชิญหน้ากับความตายด้วยกันทั้งนั้น

จากเมื่อก่อนเรามักคิดว่าการพูดถึงความตายเป็นความ ‘อัปมงคล’ ที่เราไม่ควรจะมาพูดเล่นกัน แต่ระยะหลังคนรุ่นใหม่เปิดใจกับความตายมากขึ้น เราพูดถึงความตายในบั้นปลายชีวิตด้วยมิติต่างๆ ศพฉันจะถูกจัดการอย่างไร ฉันก็ไม่อยากเป็นภาระใครเมื่อไร้ลมหายใจ ความตายแบบไหนที่ฉันเลือกได้เอง ทำให้การจัดการกับความตายจึงเป็นหัวข้อสนทนาที่เปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการวางแผนมีชีวิตอย่างมีสติ

ufabet

บทความอื่น ๆ : แนะนำการทำ Yield Farming บน Solana รับผลตอบแทนสูง

Memento mori หรือการระลึกถึงความตาย ไม่ใช่เพื่อให้หวาดกลัวที่จะตาย แต่เพื่อที่จะให้รู้จักที่จะดำรงชีวิตที่มีอยู่อย่างมีความหมาย อย่างไรก็ตามเมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับความตายเข้าจริงๆ ก็ยากที่จะตั้งตัวได้ทัน จึงต้องมีการฝึกคิดอย่างต่อเนื่อง มองความตายให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนรุ่นใหม่จึงมีกิจกรรมสนทนาเรื่องความตายมากขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจจะมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ ด้วยซ้ำ และมีธุรกิจเกิดใหม่สอดรับการตรึกตรองแบบมรณานุสติหลายรูปแบบ

ในประเทศไทยมีคาเฟ่บรรยากาศแหวกแนวที่คุณจะเห็นโลงศพ โครงกระดูก และข้อความต่างๆ ที่กระตุ้นให้ฉุกคิดถึงความตาย อย่างร้าน Kid Mai Death Cafe แถวซอยอารีย์ ที่เอาคอนเซปต์มรณานุสติมาพูดคุยอย่างเปิดอก คุณอาจจะไปนอนเล่นในโลงที่ทางร้านจัดไว้ก็ได้ หรืออยากเขียนพินัยกรรมก่อนตายว่าจะอโหสิให้ใครบ้าง เห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่มีวิธีการเข้าหาความตายโดยที่ไม่ต้องเข้าวัดเข้าวาอย่างเดียว แต่ถูกปรับเปลี่ยนไปกับวิถีชีวิตได้

การมองความตายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ไม่ได้ทำให้คุณกลายเป็นคนหดหู่หมองเศร้า เพราะความตายนั้นช่วยพัฒนารูปแบบการมีชีวิต ร่างกายของมนุษย์ที่ปราศจากลมหายใจยังมีการผจญภัยในอีกหลายบทบาท และเราจะทิ้งอะไรไว้ ทิ้งอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับโลกใบนี้

เราทุกคนต้องตาย และทุกคนเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี แต่เรากลับไม่ค่อยอยากคิดถึงความตายเสียเท่าไหร่ ความตายจึงถูกขีดเส้นแยกออกไปจากการมีชีวิต เราจึงไม่ต้องเห็นความตายให้กระทบกระเทือนใจ และการหยิบยกประเด็นนี้มาพูดในกลุ่มบรรดาเครือญาติก็เป็นเรื่องกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย

จากการสำรวจคนยุโรปราว 70% มีความเห็นว่า การตายในบ้านพักอย่างสงบย่อมดีกว่าที่จะตายในโรงพยาบาล แต่มีคนเพียง 24% เท่านั้นที่จะได้ตายในแบบที่หวังไว้ การเลือกตายในบ้านกลายเป็นความต้องการของคนรุ่นต่อไป อย่างในอังกฤษนั้นมีอาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ฝึกฝนมาเฉพาะทางเพื่อดูแลบุคคลที่กำลังใกล้ตาย พวกเขามีความสามารถที่จะพูดคุยด้วยความเข้าอกเข้าใจ สามารถให้ยาเพื่อระงับความเจ็บปวดได้หากจำเป็น หรือสามารถบันทึกวิดีโอและตัดต่อง่ายๆ เพื่อให้ผู้ป่วยส่งข้อความไปยังบรรดาญาติๆ เป็นการสั่งเสีย ซึ่งแน่นอนว่าการใช้บริการผู้ดูแลพิเศษนี้จำเป็นต้องมีการวางแผนการตายมาก่อนเนิ่นๆ โดยคุณจะต้องกรอกรายละเอียดความต้องการในบั่นปลายชีวิต สถานที่สุดท้ายที่อยากอยู่ และในเมื่อวันสำคัญนั้นมาถึงอยากจะให้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ศพจะถูกนำไปจัดการอย่างไร เป็นรายละเอียดที่ค่อนข้างเปิดกว้างที่ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายในการดูแล

ในฝั่งสหรัฐอเมริกาก็ล้ำไปอีกขั้นหนึ่ง คนรุ่นใหม่ที่นับถือคริตส์ไม่ต้องการที่จะฝังตามธรรมเนียม (อนึ่งการฝังในสุสานมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง) จึงมีความต้องการที่จะฝังหลังบ้านตัวเอง เป็นเทรนด์ที่มีชื่อว่า Green burials เป็นการฝังที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ เพราะการฝังแบบปกตินั้นมีการใช้สารเคมีคงสภาพศพที่ปล่อยรอยเท้าคาร์บอนในสิ่งแวดล้อม หรือโลงที่ใช้ก็เป็นโลงที่ผ่านกระบวนการค่อนข้างมาก Green burials จึงเปลี่ยนนิยามของการฝังใหม่ด้วยการใช้โลงที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เป็นอาหารเชื้อราในดิน ซึ่งในปีนี้รัฐวอชิงตันในสรัฐอเมริกาเป็นที่แรกที่อนุญาตให้ฝังศพที่แหล่งธรรมชาติได้ (หรือหลังบ้าน) โดยที่ศพของคุณจะห่อหุ้มด้วยสปอร์เชื้อของเห็ดและราจำนวนมาก คล้ายบอดี้สูทที่สวมทับศพ ทำให้เกิดการะบวนการย่อยสลายที่รวดเร็วขึ้น เป็นอาหารให้เห็ดราเจริญเติบโตได้อย่างดี

หรือถ้าการฝังไม่ใช่แนวทาง ยังมีบริการเปลี่ยนศพเป็นของเหลวผ่านกระบวนการ ‘ไฮโดรไลซิสอัลคาไลน์’ (alkaline hydrolysis) เป็นกระบวนการสำหรับการกำจัดซากมนุษย์และสัตว์เลี้ยงโดยใช้น้ำด่างและความร้อน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการฝังศพหรือการเผาศพแบบดั้งเดิม ซึ่งจะไม่ทิ้งมลภาวะในกระบวนการ หรือถ้าคุณเห็นความสำคัญของการศึกษาก็สามารถบริจาคร่างกายให้กับสถาบันต่างๆ เพื่อเป็น ‘อาจารย์ใหญ่’ ในการถ่ายทอดความรู้ด้านกายวิภาคให้กับนักศึกษาแพทย์

นอกจากนั้นยังมีทางเลือกแปลกๆ ที่เปลี่ยนเถ้าของคุณให้เป็นพลุแล้วยิงขึ้นฟ้าไปแตกเป็นดวงไฟเจิดจรัสบนนภา หรือเอาอัฐิไปลอยในลูกโป่งบรรจุฮีเลียมให้ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ หรือทำเป็นปะการังเทียมทิ้งในมหาสมุทรก็ยังได้


อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : audioguide-videoguide.com

Releated